หน้าแรก บล็อก

“เนเจอร์” เปิดตัวจุกนมนวัตกรรม “NATUR INFINIT” ตอบโจทย์คุณแม่ยุคใหม่

0

นายทวี เอกสุวรรณเจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนเจอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กภายใต้แบรนด์ NATUR, Angel Stony และ Toddy เปิดเผยว่า ด้วยประสบการณ์ในตลาดแม่และเด็ก ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี เนเจอร์มุ่งมั่นคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้เลือกใช้สินค้าเด็กที่ดี มีคุณภาพ และมีนวัตกรรมที่ทันสมัย ตอบโจทย์ผู้ใช้งานอย่างคุณแม่และลูกน้อย ล่าสุด เปิดตัวจุกนมนวัตกรรม “NATUR INFINIT” ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ One Size Nipple “จุกนมไซซ์เดียว สำหรับลูกน้อยทุกช่วงวัย” โดยใช้หลักธรรมชาติและความมหัศจรรย์ของเต้านมแม่ ที่ลูกน้อยสามารถดูดน้ำนมได้ทุกช่วงวัยโดยไม่ต้องเปลี่ยนไซซ์จุกนม จึงได้ออกแบบและพัฒนาผิวสัมผัสของจุกนมให้เนียนนุ่ม เพื่อให้การป้อนนมมีความใกล้เคียงกับธรรมชาติของการดูดนมจากอกแม่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา อีกทั้งนวัตกรรม On-Demand Flow Rate (ODFR)™ system ที่ลูกน้อยสามารถปรับความต้องการน้ำนมได้ด้วยตัวเอง น้ำนมจะไหลเป็นหลายสาย และหากลูกน้อยไม่เริ่มดูด น้ำนมจะไม่ไหล (Anti-drip) ซึ่งช่วยลดโอกาสสำลักน้ำนมและลดอาการโคลิก (Anti-colic) ด้วยนวัตกรรม ODFR™ system จะช่วยให้จุกนมไซซ์เดียวนี้ สามารถป้อนน้ำนมลูกน้อยได้ทุกช่วงวัยเสมือนการดูดนมจากอกแม่ได้อย่างยอดเยี่ยม

จุกนม NATUR INFINIT เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์ปัญหาที่ไม่เคยถูกพูดถึงมาก่อน คือ เรื่องของไซซ์จุกนม ซึ่งสินค้าตัวนี้จะช่วยลดปัญหาคุณแม่มือใหม่ที่ยังสับสนในการเลือกไซซ์จุกนมให้เหมาะสมกับลูกน้อย และช่วยให้คุณแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปลี่ยนไซซ์จุกนมให้ลูกน้อยบ่อย ๆ หรือต้องคอยสังเกตว่าจุกนมที่ซื้อมาให้ลูกนั้นจะทำให้ลูกดูดยากจนเหนื่อยเกินไปหรือไม่ รวมถึงช่วยลดปัญหาขนาดจุกนมที่ซื้อมาแล้วไม่ตรงกับความต้องการของลูกน้อยอีกด้วย”

ปัจจุบันแนวโน้มการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในกลุ่มคุณแม่รุ่นใหม่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุผลด้านประโยชน์ต่อสุขภาพและการพัฒนาภูมิคุ้มกันของลูกน้อย สอดคล้องกับรายงานจาก UNICEF ระบุว่า ปัจจุบันอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทั่วโลกเพิ่มขึ้น และประมาณ 48% ของทารกที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน รับน้ำนมแม่อย่างเดียวเพิ่มขึ้น 10% นอกจากนี้ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายประเทศมีอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สูงถึง 50% ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐและนโยบายในที่ทำงาน โดยประเทศไทยอยู่ที่ 29% แต่ยังไม่ถึงตามเป้าหมายของ WHO ที่ตั้งไว้ที่ 50% ดังนั้นจึงส่งผลให้ตลาดมีความต้องการจุกนมเสมือนเต้านมแม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ลูกน้อยสามารถดื่มนมจากเต้าแม่และสลับใช้จุกนมได้โดยไม่สับสน

“กลยุทธ์ด้านการตลาดและการสื่อสาร เนเจอร์มีความร่วมมือกับพันธมิตรในแคมเปญต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “จุกนมนวัตกรรม “NATUR INFINIT” ครั้งนี้ที่งาน Thailand Baby & Kids Best Buy เพื่อสร้างการการรับรู้แบรนด์และให้กับผู้บริโภคได้สัมผัสและทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ พร้อมยังให้การส่งเสริมและสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพื่อสุขภาพที่ดีของแม่และลูกน้อย”

สถานการณ์การแข่งขันของตลาดผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก มีการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีทั้งแบรนด์ใหม่จากในและต่างประเทศ แต่เนเจอร์ เน้นย้ำถึงความสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมและคุณภาพที่ได้มาตรฐานสากล ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค และต้องการสร้างภาพจำในใจแก่กลุ่มเป้าหมายให้เป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์ขวดนมและจุกนมที่ 1 ในใจคุณแม่ในยุคนี้ โดยในปีนี้มีการเปิดตัว “จุกนมนวัตกรรม “NATUR INFINIT” ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ Pain Point ของคุณแม่ในการป้อนน้ำนมจากขวดนม ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มทดสอบ ที่พบว่าผลิตภัณฑ์นี้สามารถช่วยแก้ปัญหาลูกน้อยไม่ยอมดูดจุกนม ดูดไม่ทันใจ หรือสำลักได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

ในปี 2567 เนเจอร์ วางเป้าหมายด้านการลงทุนเพิ่ม 2 ด้าน คือ 1. งานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ รวมถึงเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อช่วยให้การเลี้ยงลูกของคุณแม่ง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 2.การเสริมสร้างระบบ CRM ที่ช่วยให้ แบรนด์เข้าใจและเข้าถึงความต้องการของลูกค้า เช่น เก็บข้อมูลด้านปัญหาในการเลี้ยงลูก เพื่อให้สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์และพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณแม่ได้อย่างตรงจุด

ภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก โดยเฉพาะกลุ่มขวดนมและจุกนม มีมูลค่ารวมประมาณ 800 ล้านบาท ในขณะที่ตลาดรวมยังคงมีการเติบโตสูงด้วยการแข่งขันที่เข้มข้น ซึ่งช่องทางออนไลน์มีผลต่อการตัดสินใจของคุณแม่อย่างมาก ทั้งนี้คุณภาพผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่ตรงความต้องการของคุณแม่ จะช่วยให้แบรนด์เติบโตได้อย่างยั่งยืน ท่ามกลางกระแสสินค้าจากต่างประเทศที่เข้ามาตอบโจทย์คุณแม่ยุคใหม่มากขึ้น ปัจจุบันบริษัทฯ มีกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ ได้แก่ ขวดนม จุกนม ถุงเก็บน้ำนม เครื่องปั๊มนม เครื่องนึ่งขวดนม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และ accessory อื่น ๆ โดยมีช่องทางการจัดจำหน่ายทางร้านขายสินค้าแม่และเด็กทั่วประเทศ ร้านขายยา ร้านค้าปลีก-ส่ง และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ รวมถึงมีวางจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ ซึ่งสามารถสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ที่ Shopee, Lazada, Tiktok และ Line Shopping ค้นหาชื่อร้านค้าว่า NATUR
นายทวี เอกสุวรรณเจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนเจอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แบรนด์ “NATUR” ได้คว้ารางวัล Mommy’s Choice : Best Baby Bottle & Nipple Product ในงานประกาศรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2024 ซึ่งเป็นรางวัลสุดยอดแบรนด์สินค้าและไลฟ์สไตล์แม่ลูกอันดับ 1 ในใจคนไทย (กลุ่มสินค้าขวดนมและจุกนม) จากผลโหวตของคุณแม่ตัวจริงกว่า 30,000 ท่าน โดยภายในงานจัดขึ้นภายใต้คอนเซปต์ FAMILY Well-Being ที่ต้องการปลูกฝังรากฐาน “ความเป็นอยู่ที่ดี” เพื่อให้ทั้งครอบครัวมีความสุขและสุขภาพแข็งแรง…

1-6 สัปดาห์แรกของคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นอย่างไรบ้าง ?

0

NATUR ชวนคุณแม่ตั้งครรภ์มาเช็ก 6 อาการสำคัญและการเปลี่ยนแปลงในช่วง 1-6 สัปดาห์แรกนั้น เป็นอย่างไรบ้าง? 

  1. ประจำเดือนขาด

โดยปกติรอบเดือนของผู้หญิงจะมีระยะเวลา 21-35 วัน แต่ละคนจะต่างกัน แต่หากประจำเดือนขาดไป 10 วัน ต้องสงสัยว่าคุณกำลังตั้งครรภ์แล้ว ซื้อชุดทดสอบการครรภ์มาตรวจและมีผลออกมา 2 ขีด ซึ่งบอกถึงฮอร์โมนเอชซีจี (hCG : Hu-man Chorionic Gonadotro-pin) ที่เกิดขึ้นเมื่อไข่ได้รับการผสมแล้วไปฝังตัวที่ผนังมดลูก นั่นแสดงว่าลูกรักกำลังเติบโตอยู่ในท้อง พร้อมให้คุณแม่ไปฝากครรภ์และดูแลตั้งแต่นี้เป็นต้นไป

  1. เจ็บหน้าอก

มีอาการคัดตึงเต้านม  เจ็บหัวนมเล็กน้อย  คุณแม่จะรู้สึกว่าหน้าอกนุ่มนิ่มขึ้น มองเห็นเส้นเลือดบริเวณผิวหนังเต้านมได้ชัดขึ้น  และหากสังเกตจะพบว่าลานนมมีสีเข้มคล้ำขึ้นด้วย

  1. คลื่นไส้ อาเจียน

“อาการแพ้ท้อง” มักพบในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ โดยมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียนในช่วงเช้า แต่บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ได้ทั้งวันลองหาเครื่องดื่มอุ่น ๆ เช่น น้ำขิง น้ำเต้าหู้ ช็อกโกแลตร้อนจิบตอนเช้า กินอาหารอ่อน ๆ เพื่อให้ย่อยง่ายเพราะบางครั้งการอาเจียนจะมากขึ้นหากมีภาวะน้ำตาลต่ำร่วมด้วย หากมีอาการคลื่นไส้อาเจียนมากควรไปพบแพทย์ เพราะอาจต้องรับประทานยาลดอาเจียนและวิตามินบางชนิดเพื่อลดอาการแพ้ท้อง ในกรณีที่มีอาการรุนแรงมาก บางรายที่กินไม่ได้น้ำหนักลด หรือคุมการอาเจียนไม่ได้ด้วยยากินอาจต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล

  1. เลือดออกทางช่องคลอด

คุณแม่บางคนอาจมีเลือดออกทางช่องคลอดเล็กน้อยหรือบางคนเรียกว่าเลือดล้างหน้าเด็ก (Implantation Spotting) สาเหตุเกิดจากการที่ตัวอ่อนฝังตัวในผนังมดลูกของคุณแม่ ทำให้มีเลือดเป็นสีชมพูหรือสีน้ำตาลออกมาทางช่องคลอด มักจะออกมานิดเดียวแล้วก็หายไป ไม่ต้องกังวลใจ ยกเว้นว่ามีเลือดไหลออกมานานหลายวันหรือมีปริมาณมากผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ 

  1. พัฒนาการของลูกในครรภ์ 1 เดือนแรก

ลูกรักยังเป็นตัวอ่อนที่มีรูปร่างงอคล้ายกุ้ง มีขนาดเล็กจิ๋วเท่าปลายเข็ม ร่างกายกำลังสร้างเลือด เส้นเลือด 

มีการแบ่งเซลล์เพื่อพัฒนาเป็นอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

  1. เทคนิคเสริมสร้างพัฒนาการลูกรัก

ดูแลตัวเอง กินอาหารที่มีคุณค่า หลีกเลี่ยงการใช้ยาสารเคมีอันตราย และอาหารที่ไม่ปลอดภัย พักผ่อนให้เพียงพอ และรีบไปฝากครรภ์ทันทีที่รู้ว่าตั้งท้อง เพื่อรับยาบำรุงครรภ์ โดยเฉพาะกรดโฟลิกที่จำเป็นต่อพัฒนาการที่สมบูรณ์ของระบบประสาททารกในครรภ์

7-14 สัปดาห์แรกของคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นอย่างไรบ้าง ?

0

NATUR ชวนคุณแม่ตั้งครรภ์มาเช็กอาการสำคัญและการเปลี่ยนแปลงในช่วง 7-14 สัปดาห์แรกนั้น รวมถึงพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ช่วง 2-3 เดือนแรกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรกันบ้าง พร้อมเช็กสุขภาพและอาการของคุณแม่ให้พร้อมรับเบบี๋ตัวน้อยกัน!

  • แพ้ท้องชัดเจน

อาการแพ้ท้องอาจยังมีอยู่ต่อเนื่อง ได้แก่ อาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เหม็นกลิ่นอาหาร โดยเฉพาะในช่วงเช้า (Morning Sickness) มากขึ้น วิธีดูแลตัวเองคือกินยาลดอาเจียนและวิงเวียน จิบน้ำขิงหรือน้ำหวานอุ่น ๆ ในตอนเช้า กินขนมปังกรอบแก้คลื่นไส้ หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นอาการคลื่นไส้อาเจียน เช่น อาหารกลิ่นแรง  อาหารมัน  หรือกลิ่นน้ำหอมบางชนิด เป็นต้น อาจกินอาหารน้อย ๆ แต่บ่อยมื้อ ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง ไม่เครียดและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายคุณแม่จะได้สดชื่นขึ้น

  • ตกขาว

เพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงทำให้คุณแม่ตกขาวมาก  จึงควรสังเกตว่าตกขาวปกติหรือไม่ นั่นคือเป็นสีขาวขุ่นหรือครีม ไม่มีกลิ่น ไม่คัน แต่หากตกขาวมีสีเขียว เหลือง มีมากผิดปกติมีกลิ่น และคันควรไปปรึกษาแพทย์ การดูแลเมื่อมีอาการตกขาวคือทำความสะอาดอวัยวะเพศด้วยน้ำสะอาดปกติ ไม่ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อต่าง ๆ หรือการสวนล้างเข้าไปในช่องคลอดเพราะอาจทำให้ติดเชื้อไปถึงลูกน้อยในครรภ์ได้

  • ปัสสาวะบ่อย

คุณแม่จะปัสสาวะบ่อยขึ้น โดยเฉพาะช่วงกลางคืนที่อาจต้องลุกมาเข้าห้องน้ำบ่อยครั้ง เพราะฮอร์โมน  hCG  และโพร-เจสเทอโรนทำให้มีการสะสมของของเหลวมากขึ้นทั่วร่างกาย  เพื่อเพิ่มปริมาตรเลือดที่หมุนเวียนไปยังอุ้งเชิงกราน  (มดลูก)  ทำให้ไตต้องทำงานในการขับของเหลวส่วนเกินออกมาจากร่างกายทางปัสสาวะมากขึ้น  ทำให้ปวดปัสสาวะบ่อยนั่นเอง

  • หน้าอกเริ่มขยาย

นอกจากคุณแม่จะมีอาการเจ็บคัดเต้านม ลานนมมีสีคล้ำขึ้นแล้ว ช่วงนี้เต้านมและหน้าอกของคุณแม่จะขยายใหญ่ขึ้นชัดเจน เพื่อเตรียมที่จะเริ่มสร้างท่อน้ำนมสำหรับใช้ในการให้นมลูกต่อไป  ในกรณีที่หัวนมบอด สั้น หรือลานนมแข็ง  ควรแจ้งสูติแพทย์แต่เนิ่น ๆ เพื่อดูแลแก้ไขไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่หลังคลอด

  • ท้องอืด มีแก๊ส

เนื่องจากฮอร์โมนทำให้ระบบย่อยของคุณแม่ทำงานช้าลง คุณแม่จึงมีแก๊สในท้องเพิ่มขึ้น จนอาจผายลมและเรอบ่อยขึ้น รวมถึงมดลูกที่ขยายไปเบียดอวัยวะทำให้ลำไส้และกระเพาะอาหารย่อยอาหารได้ช้าจนมีอาการท้องอืด แน่นท้องง่าย

  • วิธีแก้ไขคือ

เลือกกินอาหารที่ย่อยง่าย มีใยอาหารสูง หลีกเลี่ยงอาหารที่มีแก๊ส เช่น ถั่ว ของทอด หอมหัวใหญ่ ดอกกะหล่ำ น้ำโซดา กินอาหารทีละน้อย แยกเป็นมื้อย่อย ๆ และค่อย ๆ กินเคี้ยวให้ละเอียด ตลอดจนหมั่นขยับร่างกาย ออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

“หากอาเจียนมากจนคุณแม่ดื่มน้ำหรือกินอาหารไม่ได้เลย ปัสสาวะเริ่มน้อยหัวใจเต้นเร็ว ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อแก้ไขทันที เพราะอาจเกิดความผิดปกติกับร่างกายและเสี่ยงต่อการแท้งหรือมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่เป็นอันตราย”

  • พัฒนาการลูกในครรภ์อายุ 2-3 เดือน

จากเคยเป็นตัวอ่อน ตอนนี้ลูกเริ่มโตเป็นทารกแล้ว เพราะอวัยวะต่าง ๆ  พัฒนารวดเร็ว มีรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจนขึ้น มีมือและขาขนาดจิ๋ว เริ่มเหยียดตัว งอหลัง ยืดแขนขาได้ลูกในครรภ์จะมีขนาด 7-9 เซนติเมตร และมีน้ำหนักเพียง 25-40 กรัม

  • เทคนิคเสริมสร้างพัฒนาการลูกรัก

คุณแม่ควรเริ่มลูบท้องพูดคุยกับลูกเพื่อสร้างความคุ้นเคย กินอาหารที่มีคุณค่า เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็นทั้งต่อสมองและร่างกายส่งผ่านไปให้ลูกน้อย ทั้งกรดโฟลิก วิตามินดี และกรดไขมันจำเป็น เช่น โอเมก้า ดีเอชเอ และวิตามินต่าง ๆ

แม่ท้องสุขภาพดี น้ำหนักต้องดีด้วย!

อยากรู้ไหม คุณแม่ควรน้ำหนักขึ้นเท่าไรดี ไปดูกันเลย

  • คุณแม่ที่น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ควรมีน้ำหนักเพิ่มขณะตั้งครรภ์ = 10-14 กิโลกรัม
  • คุณแม่ที่น้ำหนักตัวเกินหรืออ้วน ควรมีน้ำหนักเพิ่มขณะตั้งครรภ์= ไม่เกิน 10 กิโลกรัม
  • คุณแม่ที่น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ผอม ควรมีน้ำหนักเพิ่มขณะตั้งครรภ์= 12-18 กิโลกรัม

น้ำหนักคุณแม่ที่ควรเพิ่มในแต่ละเดือน

  • เดือนที่ 1-3 = ไม่เกิน 2 กิโลกรัม
  • เดือนที่4-8 = 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
  • เดือนที่ 9 ไม่ควรเพิ่มน้ำหนัก

“ทั้งนี้หากขณะตั้งครรภ์ น้ำหนักคุณแม่เพิ่มมากเกินไป จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนทั้งเบาหวาน ความดัน โลหิตสูงจนถึงครรภ์เป็นพิษได้อีกด้วย”

29-40 สัปดาห์แรกของคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นอย่างไรบ้าง ?

0

NATUR ชวนคุณแม่ตั้งครรภ์มาเช็กอาการสำคัญและการเปลี่ยนแปลงในช่วง 29-40 สัปดาห์แรกนั้น รวมถึงพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ช่วง 7-9 เดือนแรกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรกันบ้าง พร้อมเช็กสุขภาพและอาการของคุณแม่ให้พร้อมรับเบบี๋ตัวน้อยกัน!

  • ปวดหลัง

เพราะหลังของคุณแม่ต้องรับน้ำหนักมากขึ้น รวมทั้งกระดูกเชิงกรานก็ต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก ทำให้คุณแม่ปวดหลัง ปวดสะโพก การป้องกันแก้ไขคือต้องปรับท่าทางการยืนให้ตรง เดินให้ตัวตรงมั่นคงไม่ยกของหนักหรือก้มตัวเก็บของ สวมรองเท้าส้นเตี้ยที่เดินสบาย ไม่ยืนหรือเดินนานเกินไป จะช่วยลดอาการปวดหลังของคุณแม่ได้

  • ปัสสาวะบ่อย

เกิดจากมดลูกที่ใหญ่ขึ้นไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ โดยเฉพาะเวลาลูกดิ้นก็อาจจะยิ่งทำให้คุณแม่ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น

“ควรหมั่นสังเกตตนเองขณะตั้งครรภ์ หากรู้สึกผิดสังเกตให้รีบไปพบแพทย์ทันที” 

  • หายใจลำบาก

ด้วยเพราะลูกน้อยที่เติบโตขึ้นร่วมกับมดลูกขนาดใหญ่ที่อาจจะไปเบียดปอด ทำให้คุณแม่อาจมีอาการหายใจไม่สะดวก หายใจไม่ทันหรือเหนื่อยหอบได้ แต่หากหอบมากหรือมีอาการหายใจไม่ออก ต้องรีบไปพบแพทย์     

  • เริ่มเจ็บท้องเตือน

คุณแม่อาจมีอาการที่เรียกว่าเจ็บท้องหลอกหรือเจ็บเตือน (Braxton Hicks Contraction) ที่เกิดจากมดลูกซ้อมการหดรัดตัวก่อนเจ็บท้องคลอดจริง โดยอาการเจ็บท้องเตือนมักเจ็บๆ หาย ๆ ไม่สม่ำเสมอและไม่เจ็บมาก คุณแม่บางคนจะบอกว่าคล้ายการปวดประจำเดือน แต่หากอาการเจ็บท้องเกิดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ สม่ำเสมอและเจ็บนานขึ้นเรื่อย ๆ อาจเป็นการเจ็บท้องจริงได้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

  • เจ็บท้องคลอดจริง

ก่อนหน้านี้คุณแม่เคยมีอาการเจ็บท้องเตือนจากการที่มดลูกบีบตัวไม่สม่ำเสมอมาแล้ว มาครั้งนี้จะต้องเจอกับอาการเจ็บท้องคลอดจริง ได้แก่ การเจ็บท้องถี่ ๆ จากทุก 10 นาทีก็จะลดลงเหลือ 8 นาที และทุก ๆ 5 นาที และเจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ มีอาการเจ็บปวดนาน ร่วมกับอาการท้องแข็ง และรู้สึกเจ็บปวดจากหลังมายังหน้าท้อง

  • มีมูกเลือด ทางช่องคลอด

เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่จะบอกว่าคุณแม่ใกล้คลอดลูกน้อยในเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง อาการคือคุณแม่จะมีหยดเลือดสีชมพู สีแดงหรือสีน้ำตาลไหลออกมาจากช่องคลอด ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดและมูกเหนียวบริเวณปากมดลูกขาดและหลุดออกมาเพื่อเตรียมตัวคลอดลูกน้อยนั่นเอง

  • น้ำคร่ำแตก

มักจะเกิดเมื่อคุณแม่มีอาการเจ็บท้องคลอดแล้ว แต่ก็มีคุณแม่บางรายที่น้ำคร่ำแตกก่อนที่จะเจ็บท้องคลอดจริง ดังนั้นหากคุณแม่น้ำคร่ำแตกแล้ว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการและเตรียมคลอดทันที

“หากคุณแม่มีอาการบวมบริเวณใบหน้า มือ ร่วมกับอาการปวดหัว เวียนหัว หน้ามืด เจ็บหน้าท้องส่วนบน น้ำหนักขึ้นเร็วผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของครรภ์เป็นพิษได้”

  • พัฒนาการลูกในครรภ์อายุ 7-9 เดือน

ลูกรักเติบโตแข็งแรง ฉลาด แถมยังมีเซลล์ประสาทในสมองมากจนเกือบเท่าผู้ใหญ่ กระดูกส่วนต่าง ๆ เริ่มแข็งแรง ยิ่งใกล้คลอด ปอดจะพัฒนาเพื่อเตรียมพร้อมหายใจเองหลังคลอด ช่วงนี้ลูกรักมีลำตัวยาวประมาณ 49-51 เซนติเมตร และมีน้ำหนัก 2,800-3,000 กรัม

  • การนับลูกดิ้น

คุณแม่เริ่มรู้สึกว่าลูกดิ้นตั้งแต่อายุครรภ์ 18-20 สัปดาห์ (ท้องหลังอาจรู้สึกเร็วกว่านี้) โดยการนับลูกดิ้นเป็นการเช็กง่าย ๆ ถึงสุขภาพของลูกในท้องได้ คุณแม่สามารถเริ่มนับลูกดิ้นได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 28 สัปดาห์เป็นต้นไป แนะนำให้นับหลังกินอาหาร 1 ชั่วโมงทุกมื้อ (3 มื้อ) หากลูกดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้งต่อวัน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที 

เทคนิคเสริมสร้าง

พัฒนาการลูกรัก เพราะลูกรักเริ่มลืมตาและมองเห็นแสงสว่างจากภายนอกครรภ์คุณแม่ได้ จึงควรกระตุ้นการมองเห็นให้ลูกด้วยการพูดคุยร่วมกับส่องไฟฉาย อาจทำในช่วงเย็นหลังมื้ออาหาร พร้อมกับบอกลูกว่า “ลูกจ๋า นี่แม่นะจ๊ะ เห็นแม่ไหม แม่รักหนูนะลูก” เท่านี้ก็ช่วยพัฒนาเซลล์ประสาทด้านการมองเห็นให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นได้

สังเกตอาการอันตราย! ที่แม่ท้องต้องไปพบแพทย์

  • อาเจียนรุนแรงจากอาการปวดศีรษะหรือมีไข้ตัวร้อน  อุณหภูมิมากกว่า  37  องศาเซลเซียส
  • มองเห็นภาพไม่ชัด เห็นภาพเบลอ หรือเห็นเป็นจุด ๆ  ลอย ๆ   
  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง  พูดไม่ชัด  มีอาการชาร่วมด้วย
  • ปวดท้องมากคล้ายปวดประจำเดือน มากกว่า 4 ครั้งต่อวัน หรือไม่ปวดแต่รู้สึกว่ามดลูกบีบตัวมากกว่า 4 ครั้งต่อวัน
  • มีอาการตกขาวมากกว่าปกติ ตกขาวมีสีและกลิ่นผิดปกติ 
  • ใบหน้าบวม ดวงตาบวม  มีอาการขาบวมเท้าบวม ข้อเท้าบวมเฉียบพลัน หรือน้ำหนักขึ้นเร็วมากกว่า 1.5 กิโลกรัม ใน 1 สัปดาห์
  • ท้องผูกรุนแรง  ปวดท้อง  ท้องเสียรุนแรง
  • เป็นลม  เวียนหัวบ่อย  ใจเต้นแรง  ใจสั่น
  • ไอเป็นเลือด  เจ็บหน้าอก  หายใจลำบาก
  • ลูกดิ้นน้อย  เคลื่อนไหวน้อยลง  หรือรู้สึกว่าลูกไม่ดิ้น
  • มีเลือดออกทางช่องคลอดหรือน้ำคร่ำแตก  

CHECKLIST ไอเทมจำเป็นเตรียมตัวก่อนคลอด! กับของ MOM ต้องมี !

  • เครื่องปั๊มนม
  • แผ่นซับน้ำนม
  • ถุงเก็บน้ำนม
  • ผ้าคลุมให้นม
  • หมอนให้นม
  • ถ้วยป้อนนมแม่ กรณีคุณแม่เจ็บหัวนม ควรใช้ถ้วยป้อนนมให้ลูกเพื่อป้องกันลูกติดขวดนม
  • อุปกรณ์ทำความสะอาด เช่น เครื่องนึ่งขวดนมหรือเครื่องอบฆ่าเชื้อ แปรงล้างขวดนมและผลิตภัณฑ์ล้างขวดนม
  • ขวดนม จุกนม (เมื่อคุณแม่ต้องไปทำงานนอกบ้านหรือคุณแม่ที่มีปัญหาเรื่องหัวนม)
  • เสื้อชั้นในให้นม
  • เสื้อผ้าสำหรับให้นมสะดวก 2-3 ชุด
  • กระติกน้ำแข็ง  กระเป๋าเก็บความเย็น  Cool/Ice Pack  ใช้เก็บรักษาน้ำนมแม่ที่ปั๊มไว้

เตรียมอุปกรณ์ของใช้ให้ลูกรัก

ขอแนะนำให้คุณแม่ทำเช็กลิสต์ของใช้ในการเลี้ยงลูกและของใช้ในวันไปคลอด เพื่อให้มีของจำเป็นพร้อมครบถ้วนที่สุด

Baby Checklist

Clothing

  • เสื้อผ้าผูกป้ายแขนสั้น +กางเกงขาสั้น 2-3 ชุด
  • เสื้อผูกป้ายแขนยาว + กางเกงขายาว 2-3 ชุด
  • ถุงมือ + ถุงเท้า อย่างละ 1-2 คู่   
  • เสื้อคลุมเมื่อเดินทาง
  • หมวกเด็กอ่อน 2 ใบ
  • ผ้าห่อตัว 2 ผืน
  • ผ้าอ้อมผ้า 3-4 โหล
  • ผ้าอ้อมสำเร็จรูป 2 ห่อ
  • ไม้แขวนเสื้อ 2 โหล
  • ที่ตากผ้าอ้อมแบบหนีบ

Feeding

  • เครื่องปั๊มนม
  • ถุงเก็บน้ำนม
  • กระติกน้ำร้อน
  • ขวดนมเด็กแรกเกิด
  • จุกนมเด็กแรกเกิด
  • ผ้าคลุมให้นม
  • กระเป๋าเก็บอุณหภูมิ
  • ครีมทาหัวนม
  • ชุดชั้นในให้นม
  • ถ้วยป้อนน้ำนม

Cleaning

  • น้ำยาซักผ้าเด็ก
  • น้ำยาปรับผ้านุ่มเด็ก
  • น้ำยาล้างขวดนม และจุกนม
  • ทิชชูเปียก
  • สำลีแผ่น
  • สำลีก้อน
  • สำลีก้านเล็ก/คอตตอนบัด 
  • แปรงล้างขวดนมและจุกนม
  • เครื่องนึ่งขวดนม เครื่องอบฆ่าเชื้อ 

Bathing

  • อ่าง/กะละมังอาบน้ำเด็ก
  • เก้าอี้อาบน้ำเด็ก
  • แชมพู/ครีมอาบน้ำเด็ก
  • หมวกสระผมกันแชมพู
  • โลชัน/เบบี้ ออยล์
  • ผ้าเช็ดตัว
  • ฟองน้ำ

Sleeping

  • เตียงนอน/ที่นอนเด็ก
  • ฟูก/เบาะนอน
  • หมอนหนุน/หมอนหลุม
  • หมอนข้างเด็ก
  • ผ้าปูที่นอน
  • ผ้าห่ม
  • ผ้ายางรองกันฉี่
  • มุ้งเตียง/มุ้งครอบ
  • เปลโยก

Health & Safety

  • คาร์ซีท
  • รถเข็นเด็ก
  • เป้อุ้มเด็ก
  • ปรอทวัดไข้
  • ที่ดูดน้ำมูก
  • เจลแปะลดไข้เด็ก
  • ยาแก้ท้องอืด
  • ครีมทากันยุง
  • กรรไกรตัดเล็บ
  • ครีมทาแมลงกัดต่อย
  • ครีมทาก้นเด็ก

How to จัดกระเป๋าคุณแม่มือใหม่ให้พร้อม เตรียมรับวันคลอดของเบบี๋

0

ในช่วงที่ใกล้คลอด คุณแม่ควรจัดเตรียมกระเป๋าของใช้สำหรับไปโรงพยาบาลในวันคลอดให้พร้อม หากคุณแม่มีอาการเจ็บท้องหรือมีนัดคุณหมอจะได้ไม่ลืมเอกสารของใช้สำคัญ โดยไม่ฉุกละหุกจนสร้างความกังวลใจให้แก่คุณแม่

MOM ต้องมี! ของใช้สำหรับคุณแม่

  • หน้ากากอนามัย
  • เสื้อผ้าสำหรับกลับบ้าน (ให้นมได้)
  • แผ่นซับน้ำนม
  • ชุดชั้นใน
  • รองเท้าส้นเตี้ยสวมง่าย
  • เครีมบำรุงผิวหน้า  แชมพู  สบู่  โฟมล้างหน้าโลชันบำรุงผิว  โรลออน  แปรงสีฟัน ฯลฯ
  • เครื่องสำอาง แป้ง หวี ลิปบาล์ม ยางรัดผม ฯลฯ
  • อุปกรณ์ชาร์จแบตโทรศัพท์
  • แบตสำรอง/พาวเวอร์แบงก์
  • ทิชชูเปียก
  • แว่นตา/คอนแทคเลนส์
  • น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์
  • วิตามิน/ยาประจำตัว (ที่ไม่ส่งผลต่อลูก)
  • ครีมทาหัวนมแตก
  • ผ้าอนามัยแบบกลางคืน / ใส่สบาย  

เอกสารสำคัญ

  • บัตรโรงพยาบาล
  • ใบฝากครรภ์
  • บัตรประจำตัวประชาชน
  • บัตรประกัน
  • เอกสารที่จะต้องใช้แจ้งเกิดทำสูติบัตรของลูกรัก

BABY

  • ของใช้ลูกน้อย
  • เสื้อผ้ากลับบ้าน
  • ผ้าห่อตัว
  • ผ้าอ้อมผ้า
  • ผ้าอ้อมสำเร็จรูปไซซ์แรกเกิด/ไซซ์ S
  • ติดตั้งคาร์ซีท
  • หมวก
  • ถุงมือ + ถุงเท้า
  • กระเป๋าใส่ของใช้ลูกรัก

15-28 สัปดาห์แรกของคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นอย่างไรบ้าง ?

0

NATUR ชวนคุณแม่ตั้งครรภ์มาเช็กอาการสำคัญและการเปลี่ยนแปลงในช่วง 15-28 สัปดาห์แรกนั้น รวมถึงพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ช่วง 4-6 เดือนแรกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรกันบ้าง พร้อมเช็กสุขภาพและอาการของคุณแม่ให้พร้อมรับเบบี๋ตัวน้อยกัน!

  • น้ำหนักขึ้นหุ่นเริ่มเปลี่ยน

คุณแม่จะรู้ตัวแล้วว่าน้ำหนักเริ่มขึ้นมาค่อนข้างเร็ว  ยกเว้นกรณีแพ้ท้องมาก ๆ น้ำหนักอาจขึ้นมาช้าหน่อย น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น จะสัมพันธ์กับขนาดของหน้าท้องที่ขยายใหญ่ขึ้น และรอบเอวคุณแม่ที่หนาขึ้น โดยระบบการทำงานต่าง ๆ ในร่างกายคุณแม่ที่หล่อเลี้ยงลูกในครรภ์ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นด้วย

  • สีผิวเปลี่ยน

เห็นเส้นดำกลางท้องสีผิวของคุณแม่จะเริ่มคล้ำขึ้น โดยเฉพาะบริเวณรักแร้หรือซอกขาซอกแขน ขาหนีบ เริ่มเห็นเส้นดำกลางหน้าท้องที่เกิดจากฮอร์โมนในขณะตั้งครรภ์ โดยสีจะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น และเส้นสีดำนี้จะจางลงได้เองหลังคลอด นอกจากสีผิวที่คล้ำขึ้น หัวนมคุณแม่ก็จะมีสีเข้มและมีขนาดเต้านมใหญ่ขึ้นด้วย  

  • ท้องลาย

จากการขยายตัวของผิวหนังหน้าท้องร่วมกับผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น ควรป้องกันด้วยการทาครีมหรือโลชั่นบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้น  เลือกชนิดที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีรุนแรงและหมั่นทาตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ทุกวัน

“ระมัดระวังการล้ม! เพราะเมื่อขนาดครรภ์ใหญ่ขึ้น ศูนย์ถ่วงร่างกายเปลี่ยนไปทำให้ทรงตัวไม่อยู่”

  • ท้องผูก

เกิดได้จากหลายสาเหตุขณะตั้งครรภ์ ทั้งจากฮอร์โมนที่ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวช้า  มดลูกขยายไปกดทับลำไส้  กินน้ำน้อย  กินอาหารที่มีใยอาหารน้อย ทำให้คุณแม่มีอาการท้องผูกได้

  • แม่ท้อง ป้องกันท้องผูก!

ด้วยการกินอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ ดื่มน้ำให้มาก ออกกำลังกายด้วยการเดินหรือบริหารร่างกายเบา ๆ วันละ 20-30 นาที จะช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ของคุณแม่ทำงานได้ดีขึ้นในกรณีที่คุณแม่กินยาธาตุเหล็กชนิดเม็ดร่วมด้วยก็อาจพบผลข้างเคียงเป็นอาการท้องผูกได้หากท้องผูกควรแจ้งแพทย์เพื่อดูแลและอาจปรับเปลี่ยนชนิดของวิตามินให้เหมาะสม

  • ปวดชายโครง เสียดท้องน้อย

ด้วยขนาดของลูกน้อยที่เติบโตขึ้น เวลาลูกดิ้นหรือขยับตัวจะทำให้มดลูกเคลื่อนไหวไปทับกระเพาะอาหารมีอาการแสบร้อน

กลางอกและรู้สึกเสียดชายโครงได้ 

  • เท้าบวม เท้าขยายใหญ่

อาจมีอาการบวมตามข้อหรือเท้าได้ ซึ่งอาการเท้าบวมหลังคลอดจะหายไป แต่เท้าที่ขยายใหญ่แล้วจะไม่กลับมาเท่าเดิม  ดังนั้นคุณแม่จึงต้องเปลี่ยนขนาดรองเท้า ใส่รองเท้าส้นเตี้ยที่เดินสบาย ป้องกันการเดินสะดุดหรือล้ม ยกเว้นกรณีที่สังเกตว่าเท้าบวมมาก อาจปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ที่ทำให้เท้าบวมเช่น ครรภ์เป็นพิษ ฯลฯ

  • เป็นตะคริว

คืออาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณน่อง ต้นขา หรือปลายเท้ามักจะเป็นบ่อย ๆ เวลากลางคืนเกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบรรเทาด้วย การกระดกปลายเท้าขึ้นให้กล้ามเนื้อคลายตัวออกดื่มน้ำและกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง เนื่องจากสาเหตุที่ทำให้เป็นตะคริวนั้นส่วนหนึ่งมาจากการขาดน้ำและแคลเซียมด้วย

“ก้าวเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 แล้ว อาการเหนื่อยล้า และอ่อนเพลียค่อย ๆ จางไปอารมณ์ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอยากจะทำอะไร อยากจะกินอะไรก็ได้หมด ถือเป็นเวลาทองของแม่ท้องเลยทีเดียว”

  • พัฒนาการลูกในครรภ์อายุ 4-6 เดือน

เบบี๋ในท้องคุณแม่โตขึ้นเร็วและฉลาดกว่าที่คิด ดิ้นเก่งและรับรู้การเคลื่อนไหว เรียนรู้การตอบโต้เวลาคุณแม่กระตุ้นได้ จอตาเริ่มไวต่อแสง หาว ดูดนิ้ว สะอึก ปอดและระบบการทำงานในร่างกายกำลังพัฒนา แต่ไม่สมบูรณ์ ในช่วงปลายเดือนที่ 6 จะมีขนาดประมาณ 30-33 เซนติเมตร และน้ำหนัก 700-800 กรัม

  • เทคนิคเสริมสร้างพัฒนาการลูกรัก

ควรกระตุ้นสมองและการเรียนรู้ให้ลูกด้วยการหมั่นพูดคุยสื่อสารกับลูกพร้อมลูบสัมผัสหน้าท้อง  ลูบคลำบริเวณที่ลูกดิ้น นั่งเก้าอี้โยกไปมา เล่านิทาน เปิดเพลงให้ฟังบ่อย ๆ รวมทั้งการตบหน้าท้องเบา ๆ เพื่อให้ลูกพัฒนาเซลล์ประสาทด้านความรู้สึกและเรียนรู้เคลื่อนไหวตอบสนองต่อสิ่งที่กระตุ้นได้ดี

เผยเทคนิค! ทำความสะอาดยังไงให้ถูกหลักอนามัย เมื่อเบบี๋เริ่มขับถ่าย

0

NATUR แชร์เทคนิคดูแลเบบี๋ในทุกขั้นตอนของการขับถ่าย! รับรองว่าคุณแม่มือใหม่ ก็กลายเป็นคุณแม่มือเก๋าได้ง่ายๆแน่นอน! 

ลูกรักปัสสาวะบ่อยแค่ไหน

  • ลูกรักแรกเกิด

จะถ่ายปัสสาวะภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอดจะปัสสาวะเฉลี่ยเกือบทุกชั่วโมง และในช่วง 1-3 เดือนแรก จะปัสสาวะวันละประมาณ 10-12 ครั้ง ปริมาณมากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณนมที่ลูกกินเข้าไป

  • ลูกรัก 5-6 เดือน

ความถี่ในการปัสสาวะของลูกจะลดลงเหลือประมาณ 9-11 ครั้ง

  • ลูกรัก 6-11 เดือน 

เมื่อลูกอายุ 6-8 เดือนจะเริ่มกินอาหารเสริมร่วมกับนมแม่ ทำให้ปัสสาวะประมาณ 8-10 ครั้ง และพอโตขึ้นจนอายุ 9-11 เดือนจะปัสสาวะลดลงอีก เหลือประมาณ 7-9 ครั้ง

  • ลูกรัก 1 ปี

จะปัสสาวะน้อยครั้งลง เหลือประมาณ 6-8 ครั้งต่อวัน และกลางคืนก็จะปัสสาวะลดลงด้วย

  • ลูกรัก 2 ปี -2 ปีครึ่ง

จะถ่ายปัสสาวะประมาณ 5-7 ครั้งต่อวัน โดยลูกเริ่มที่จะควบคุมปัสสาวะได้บ้าง และบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าปวดปัสสาวะได้แล้ว 

สุขภาพคุณหนูดูที่สีอุจจาระ

  • อุจจาระสีดำอมเขียวหรือเกือบดำ

มีลักษณะเหนียวเข้ม เป็นอุจจาระที่ลูกถ่ายใน 1-3 วันหลังคลอด เรียกว่าขี้เทา

  • อุจจาระสีเขียวปนเหลือง

เป็นสีอุจจาระหลังจากช่วงที่ลูกถ่ายขี้เทาออกมาหมดแล้ว

  • อุจจาระสีเหลือง

หากลูกได้กินนมแม่จะอุจจาระเป็นสีเหลืองคล้ายฟักทอง มีลักษณะเหลว นุ่ม แสดงว่าลูกสุขภาพปกติดี

  • อุจจาระสีเขียว

เกิดจากการที่ลูกกินนมผสม ซึ่งจะทำให้สีอุจจาระของลูกแตกต่างกันไปและไม่ออกสีเหลืองเหมือนกินนมแม่

  • อุจจาระสีเหลืองอมส้ม หรือสีมัสตาร์ด

เป็นสีอุจจาระปกติของทารกที่อาจเกิดจากอาหารที่คุณแม่กินเข้าไป ทำให้ลูกที่ได้รับนมแม่ขับถ่ายออกมามีสีนี้

  • อุจจาระสีดำ

หากแม่กินวิตามินหรืออาหารที่มีธาตุเหล็ก อาจส่งผ่านน้ำนมไปยังลูกทำให้อุจจาระเป็นสีดำได้  แต่ลูกน้อยไม่ควรถ่ายอุจจาระสีนี้บ่อย ๆ  ซึ่งหากลูกถ่ายสีนี้บ่อยควรพาไปปรึกษาคุณหมอ  เพราะลูกอาจมีปัญหาในระบบทางเดินอาหารได้ อุจจาระสีแดง หากลูกกินอาหารเสริมได้แล้ว อุจจาระสีนี้ อาจเพราะคุณแม่ให้ลูกกินอาหารประเภทมะเขือเทศ แครอตที่มีสีแดง แต่หากเป็นสีแดงที่แสดงว่าเป็นเลือดสด ควรไปพบแพทย์เพราะลูกอาจท้องผูก และมีแผลฉีกขาดที่รูทวารหนักได้ 

  • อุจจาระสีขาวซีด

ต้องรีบพาลูกไปพบแพทย์ทันที เพราะตับหรือท่อน้ำดีของลูกอาจมีปัญหาหรือมีความผิดปกติได้  

เช็กซิ ลูกท้องเสียหรือไม่!

เด็กกินนมแม่เป็นหลักมักถ่ายเหลวเล็กน้อยคล้ายโคลน และอาจปนมูกเล็กน้อยได้ปกติจึงไม่นับเป็นการถ่ายเหลว แต่ถ้ามีอาการต่อไปนี้

  • ถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน
  • ถ่ายเป็นน้ำ 1 ครั้งต่อวัน
  • อุจจาระมีมูกเลือดปน 1 ครั้งต่อวันต้องรีบพาไปพบแพทย์ทันที
  • เป็นแบบนี้ต้องไปหาหมอ
  1. ทารกอายุน้อยกว่า 3 เดือนมีอาการท้องเสีย
  2. อาการไม่รุนแรง แต่ดูแลที่บ้านแล้วไม่ดีขึ้นภายใน 1 วัน
  3. มีอาการขาดน้ำ เช่น มีไข้สูง  ซึม  กระสับ-กระส่าย ปากแห้ง ตาโหล ปัสสาวะน้อยลงและมีสีเข้ม มีอาการชัก ให้รีบพาไปโรงพยาบาล

How to อาบน้ำเบบี๋ยังไงให้แฮปปี้! เบบี๋สบายตัวสุดๆ

1

NATUR พาส่องเทคนิคอาบน้ำเบบี๋ยังไงให้แฮปปี้ พร้อม 3 วิธีทั้งอาบน้ำ, สระผม และเช็ดดวงตาเบบี๋ตัวน้อยให้ปลอดภัยหายห่วงสุดๆ ไปดูกันเลยค่า! 

  • อาบน้ำเบบี๋

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม: อ่างอาบน้ำ 2 ใบ ผสมน้ำอุ่นให้อุณหภูมิพอเหมาะ, ฟองน้ำ, สบู่/ครีมอาบน้ำ, ผ้านุ่มสะอาด, ผ้าเช็ดตัว

ในช่วงแรกอาจไม่จำเป็นต้องอาบน้ำเช้า-เย็น เพราะเด็กเล็กมักไม่มีเหงื่อไคล และผิวหนังยังบอบบาง แห้ง เกิดผื่นได้ง่าย แต่เมืองไทยเป็นเมืองร้อน ในช่วงแรกอาจอาบน้ำวันละครั้ง และค่อย ๆ เพิ่มเป็นวันละ 1-2 ครั้งได้ตามความเหมาะสม

  1. ประคองลูกด้วยสองมือ วักน้ำลูบตัวลูกเล็กน้อยก่อน แล้วค่อย ๆ วางก้นลูกลงในอ่าง จากนั้นใช้ฟองน้ำชุบน้ำเปล่าทำความสะอาดให้ทั่วทั้งตัวและใบหน้า เช็ดจากด้านหน้าไปหลังและด้านบนลงล่าง
  1. จับลูกให้แน่น แล้วใช้สบู่ฟอกตัวลูกเบา ๆ ให้ทั่ว หากกลัวลูกจะหนาว ระหว่างถูตัวสามารถจับลูกวางที่ผ้าสะอาดหรือเก้าอี้อาบน้ำได้ 
  2. อุ้มลูกกลับไปล้างตัวในอ่างอาบน้ำอีกใบ ล้างฟองสบู่ออกให้หมดด้วยฟองน้ำชุบน้ำจากบนลงล่าง แล้วค่อย ๆ พลิกตัวลูกล้างด้านหลัง
  3. อุ้มลูกออกจากอ่างวางบนผ้าเช็ดตัว เช็ดตัวลูกให้แห้ง  แล้วใส่ผ้าอ้อมและเสื้อผ้า 
  • สระผมเบบี๋

อุปกรณ์: อ่างอาบน้ำ, แชมพูสระผม, ฟองน้ำ, ผ้าเช็ดตัว

ก่อนสระผมให้ทดสอบอุณหภูมิน้ำไม่ให้ร้อนหรือเย็นเกินไป ไม่สระผมหลังลูกกินนมทันที และระมัดระวังไม่ให้แชมพูไหลเข้าตาลูก

  1. อุ้มลูกน้อยในท่ารักบี้ (อุ้มลูกให้ลำตัวแนบกับข้างตัวแม่)  
  2. ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลางซ้ายปิดหูและใบหูลูก มือขวาหยิบฟองน้ำชุบน้ำบีบบนศีรษะลูกให้เปียก แล้วบีบแชมพูฟอกให้ทั่วศีรษะ
  3. ล้างฟองแชมพูออกด้วยฟองน้ำชุบน้ำสะอาดจนแน่ใจว่าศีรษะลูกไม่มีแชมพูแล้วจากนั้นจึงอาบน้ำลูก 
  • เช็ดดวงตาลูก

อุปกรณ์: สำลีก้อน, สำลีแผ่น

  1. ให้ลูกนอนหงายใช้สำลีชุบน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วบีบให้หมาด ทั้งสองมือ
  2. ค่อย ๆ เช็ดดวงตาลูกจากหัวตาไปหางตา เปลี่ยนสำลีใหม่ทุกครั้ง เมื่อต้องเช็ดซ้ำให้หมดคราบขี้ตา
  • ทำความสะอาดลูกสาว

อุปกรณ์ : สำลีก้อน, สำลีแผ่นน้ำสะอาด

อวัยวะเพศของลูกสาวมีซอกมุมต่าง ๆ คุณแม่ควรทำความสะอาดให้แห้งสะอาดทุกซอกมุมไม่ให้อับชื้น เพราะจะทำให้เป็นผื่นแพ้ ผิวหนังแดงได้ง่าย 

  1. วางลูกลงนอนหงาย ใช้สำลีชุบน้ำเช็ดใต้สะดือลงมาถึงอวัยวะเพศด้านนอก
  2. ใช้ปลายนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของมือซ้ายค่อย ๆ แหวกอวัยวะเพศลูกแล้วใช้มือขวาหยิบสำลีชุบน้ำเช็ดจากด้านบนลงล่าง ด้านในออกด้านนอกให้ทั่วทั้งสองข้าง
  3. เปลี่ยนสำลีใหม่ เช็ดด้านนอกบริเวณแคมเล็ก ๆ ทั้งซ้ายและขวาขาหนีบ และข้อพับ เปลี่ยนสำลีแล้วเช็ดร่องก้นจากด้านบนลงด้านล่าง และซับน้ำให้แห้งสะอาด
  • ทำความสะอาดลูกชาย

อวัยวะเพศของลูกชายจะมี 2 ส่วน คือ ส่วนองคชาตและส่วนลูกอัณฑะคุณแม่ควรทำความสะอาดให้ถูกต้อง

  1. ให้ลูกนอนหงาย ใช้สำลีชุบน้ำสะอาดเช็ดใต้สะดือลงมาถึงอวัยวะเพศด้านนอก
  2. ใช้มือซ้ายค่อย ๆ ดึงหนังหุ้มปลายองคชาตของลูกลงเบา ๆ จนเห็นรูเล็กใช้มือขวาจับสำลีชุบน้ำเช็ดให้ทั่ว 
  3. เปลี่ยนสำลี แล้วนำมาเช็ดบริเวณขาหนีบข้อพับ และเช็ดบริเวณลูกอัณฑะให้สะอาด จากนั้นใช้สำลีใหม่เช็ดร่องก้นลูกให้แห้งสะอาดหมดจด
  • เช็ดสะดือลูก

อุปกรณ์ คอตต้อนบัด, แอลกอฮอล์ 70%

ทำความสะอาดสะดือลูกแรกเกิดให้แห้งสะอาดเสมอ จนกว่าสายสะดือจะหลุด

  1. ใช้คอตตอนบัดชุบแอลกอฮอล์ ค่อย ๆ เช็ดรอบสะดือลูกให้ทั่วจากด้านนอก
  2. เช็ดหมุนวนจากปลายให้ถึงโคนสะดือตามเข็มนาฬิกา 2 รอบ และต้องเปลี่ยนคอตตอนบัดทุกครั้ง
  3. เช็ดที่หัวสะดือ เสร็จแล้วใส่ผ้าอ้อมหรือเสื้อผ้า ดูแลไม่ให้สะดือลูกชื้นหรือแฉะ ห้ามโรยแป้งหรือทาโลชั่นที่สะดือ
  • ดูแลเล็บเบบี๋

อุปกรณ์ : กรรไกรตัดเล็บ สำหรับเด็ก

  1. พยายามตัดเล็บลูกในตอนกลางวันหรือตอนที่ลูกนอนหลับกลางวัน
  2. ใช้กรรไกรตัดเล็บสำหรับเด็ก โดยเฉพาะ ค่อย ๆ ตัดเล็บลูกเป็นรูปโค้งมน โดยไม่ตัดชิดขอบเนื้อที่นิ้วลูกจนเกินไป
  3. ใช้ตะไบลบคมเล็บ และควรเก็บเศษเล็บให้หมด ป้องกันการบาดผิวหนังลูก

ชวนแม่ส่องความต่างระหว่าง ผ่าคลอด และคลอดธรรมชาติ แบบไหนที่ใช่สำหรับคุณแม่

0

แม่ๆหลายบ้านคงเป็นกังวลไม่น้อยเกี่ยวกับการคลอด และเกิดความสงสัยว่าความแตกต่างระหว่าง “ผ่าคลอด” และ “คลอดธรรมชาติ” นั้น คุณแม่ควรเลือกแบบไหนจึงจะเหมาะสม วันนี้ NATUR นำความรู้ดีๆ เกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของการคลอดทั้ง 2 แบบ มาให้คุณแม่ได้อ่านกันแล้วค่ะ! 

  • คลอดธรรมชาติ

ข้อดี

  • ค่าใช้จ่ายไม่สูงและฟื้นตัวหลังคลอดเร็ว
  • เสียเลือดน้อยกว่า เจ็บแผลน้อยและไม่นาน
  • สามารถให้นมลูกน้อยได้ทันที
  • คลอดเองตามธรรมชาติในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปได้
  • ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด

ข้อเสีย

  • ใช้เวลาคลอดนาน กำหนดเวลาหรือเตรียมตัวไม่ได้
  • เจ็บปวดเวลารอคลอดนาน และเจ็บขณะคลอดมาก
  • หากปากมดลูกไม่เปิด หรือมีภาวะแทรกซ้อน
  • บางอย่างจะคลอดเองไม่ได้ ต้องผ่าตัดฉุกเฉิน
  • เจ็บแผลฝีเย็บหลังคลอด
  • ผ่าตัดคลอด

ข้อดี

  • เหมาะกับคุณแม่ที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ว่ามีความเสี่ยง
  • กำหนดวันและเวลาคลอดได้ ทำให้มีเวลาเตรียมตัว ใช้เวลาคลอดไม่นาน 
  • มียาระงับความรู้สึก ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บขณะคลอด
  • สามารถทำหมันได้ทันที

ข้อเสีย

  • เสียเลือดมาก อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด
  • เจ็บแผลนาน ร่างกายฟื้นตัวช้า
  • อาจให้นมลูกได้ยากกว่าคลอดธรรมชาติเล็กน้อย
  • จากการเจ็บแผลผ่าตัด และการได้รับยาลดอาการปวดบางชนิดที่ทำให้ง่วงและเวียนศีรษะได้
  • อาจมีภาวะแทรกซ้อนเมื่อเจ็บครรภ์ครั้งต่อไป เช่น
  • แผลมดลูกปริแตก จึงต้องผ่าตัดคลอดอีกครั้ง
  • มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

How to ดูแลเบบี๋ให้ Happy Bedtime กันเถอะ!

0

แชร์วิธีดูแลเบบี๋ยังไงให้ Happy Bedtime ยามนอนหลับกัน! มาดูกันว่าลูกรักของเรานอนหลับยาวนานแค่ไหนกลางวัน และกลางคืนนอนกี่ครั้ง ไปดูกันเลย!

  • ลูกรักแรกเกิด 

นอนหลับวันละประมาณ 16-20 ชั่วโมง แต่รูปแบบการนอนยังไม่แน่นอน โดยจะนอนกลางวันมากพอ ๆ กับนอนหลับตอนกลางคืน

  • ลูกรัก 3 เดือน

นอนหลับรวมแล้วประมาณ 13-17  ชั่วโมงต่อวัน นอนกลางคืนประมาณ 9 ชั่วโมงและนอนกลางวัน 4-5 ชั่วโมง

  • ลูกรัก 6 เดือน 

ลูกจะนอนหลับวันละประมาณ 12-15 ชั่วโมง โดยนอนกลางคืน 8-9 ชั่วโมงและนอนกลางวัน 3 ชั่วโมง

  • ลูกรัก 1 ปี 

ลูกเริ่มโตขึ้นและนอนลดลงเหลือ 11-13 ชั่วโมง จะนอนกลางคืนประมาณ 8 ชั่วโมงและนอนกลางวัน 2 ชั่วโมง